4G คืออะไร?
4G นั้นมีชื่อย่อมาจาก Fourth Generation of Technology for Mobile Network (ยาวมาก) เป็นเทคโนโลยีการรับ-ส่งข้อมูลแบบไร้สายที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้มีความเร็วมากขึ้น สำหรับการรองรับการใช้งานมัลติมีเดียความละเอียดสูง อย่างภาพยนตร์ Full HD ที่ผู้ใช้มีการใช้งานมัลติมีเดียบนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการการสนทนาแบบเห็นหน้าผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ ก็สามารถทำได้อย่างลื่นไหลและคมชัดมากกว่าเดิม
LTE นั้นย่อมาจาก Long-Term Evolution เป็นเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายความเร็วสูงเพื่อใช้กับอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือที่เป็นสมาร์ทโฟน หรือเครื่องที่รองรับสัญญาณได้ โดยเทคโนโลยีนี้ออกมาเพื่อทลายข้อจำกัดความเร็วของเทคโนโลยีที่เราใช้อยู่ปัจจุบันอย่าง GSM/GPRS/EDGE หรือแม้กระทั่ง 3G ที่เราทดลองใช้งาน ให้มีประสิทธิภาพในและความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่มีความเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก โดยมีความเร็วการรับข้อมูลสูงสุดที่ 100Mbps
หลายคนคงงงว่า ทำไมถึงเอา LTE มารวมกับ 4G ด้วย อันที่จริงแล้วความหมายทางวิศวกรรมของ LTE นั้นไม่ใช่ 4G แต่อย่างใด แต่มันเป็นเทคโนโลยีที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง 3G และ 4G โดย LTE เป็นเทคโนโลยียุค 3.9G แต่เพื่อความเข้าใจที่ง่ายและเพื่อเป็นคำในการทำตลาด ดังนั้นจึงมีการเรียกแบบรวมๆ ว่าเป็น 4G LTE นั่นเอง
4G เร็วขนาดไหน?
แน่นอนว่า 4G นั้นต้องมีความเร็วมากกว่า 3G อยู่แล้วในการใช้งานจริงเพื่อตอบสนองการใช้งานดังที่กล่าวมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในการดาวน์โหลดของ 4G นั้นมีความเร็วมากกว่า 3G มากถึง 2-3 เท่า และอัพโหลดเร็วกว่าถึง 5 เท่าเลยทีเดียวครับ ซึ่งความเร็วมาตรฐานของ 4G นั้นจะอยู่ที่ 100Mbps/50Mbps (เร็วกว่าเน็ตบ้านอีกนะเนี่ย) แต่ทั้งนี้ 4G ก็เหมือน 3G ตรงที่ว่าการใช้งานและความเร็วก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่การให้บริการและสภาพแวดล้อมด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างเช่นภาพยนตร์ DVD 1 แผ่น (ความจุโดยทั่วไป 4.7GB) 3G ที่ความเร็วสูงสุดนั้นจะใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการดาวน์โหลด แต่ถ้าเป็น 4G จะใช้เวลาเพียง 6 นาทีเท่านั้น และในทางกลับกันถ้าคุณต้องการอัพโหลดเพลง MP3 ขนาด 5MB ส่งให้เพื่อนแล้วล่ะก็ 3G คุณต้องรอนานถึง 7 วินาที แต่ถ้าเป็น 4GB จะใช้เวลาเพียงวินาทีเดียวเป็นต้น
4G มีประโยชน์อย่างไร?
ดังนั้นความเร็วของ 4G นับว่ามีประโยชน์มากต่อการตอบสนองการใช้งานไอทีในชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะผู้ที่ใช้งาน Cloud Storage หรือ Cloud Streaming อย่างการเก็บไฟล์ไว้ใน Google Drive สำหรับเปิดอ่านได้ทั้งคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน, การใช้งาน Lenovo Beacon ดึงไฟล์จากที่บ้านมาใช้งานที่ออฟฟิศ หรือชมภาพยนตร์ออนไลน์แบบ HD ซึ่งมีบริการอยู่อย่างแพร่หลายในขณะนี้ ซึ่งบริการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องการอินเตอร์เน็ตที่รวดเร็ว ซึ่ง 3G ในปัจจุบันอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการอีกต่อไป
คุณอาจจะไม่ต้องหงุดหงิดเพราะ โหลดภาพใน Facebook ไม่ขึ้น ดู YouTube ได้แค่ครึ่งทาง (บางครั้งแค่ต้นทางก็นิ่งแล้ว) ดูทีวีออนไลน์บนแท็บเล็ตแบบตะกุกตะกัก เพราะอานิสงส์ความเร็วจาก 4G นั่นเองครับ
ที่มา : https://lenovothailand.com/lifestyle/item/what-is-4g-lte-and-how-fast/