เรียบเรียงโดย บุญศิริ นารีรัตน์ นพวรรณ ดิศลิน กองจัดการความรู้
>>>>>
หลายคนอาจเกิดคำถามนี้ขึ้นในใจ “ทำไมต้องจัดการความรู้ เราจะมีความรู้อะไรที่ต้องจัดการ ถึงเวลาต้องจัดการแล้วหรือ จะจัดการอย่างไร แล้วใครได้ประโยชน์ จำเป็นต้องทำไหม? และอื่นๆอีกมากมาย เป็นคำถามที่พบเจออยู่ทุกวันในกิจกรรม KM ….” และคุณก็สงสัยเช่นกันหรือไม่?
ขอบอกเล่าประสบการณ์ทำงานด้านการจัดการความรู้ผู้ใกล้เกษียณ วว. ให้ฟังก่อนนะคะ ในตอนแรกที่ได้รับมอบหมายงาน การจัดการความรู้ผู้ใกล้เกษียณ ประจำปี 2556 เป็นเพียงการรวบรวม องค์ความรู้จากประสบการณ์การบอกเล่าของรุ่นพี่ก่อนวัยเกษียณอายุ ซึ่งก็ยอมรับว่า ไม่มีความรู้ในสายงานนี้มาก่อน จึงต้องศึกษาหาความรู้จากเอกสาร สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมบนเว็บไซต์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมอบรมสัมมนาฟรีทั้งภายในและภายนอกองค์กร เยี่ยมชมดูงานด้านการจัดการความรู้ของหน่วยงานต่างๆ เพื่อนำมากำหนดแนวทางการจัดทำแผนการจัดการความรู้ผู้ใกล้เกษียณ จัดทำแผนการปฏิบัติงาน การแบ่งปันความรู้ภายในทีมงาน การนำข้อเด่นของหน่วยงานต่างๆมาปรับใช้ในกระบวนการทำงานจัดการความรู้ผู้ใกล้เกษียณ จากปีที่ 1 (2557) ที่ก่อตั้งเป็นการทำงานแบบฝึกงาน ทดลองงาน เรียนรู้งานจากการนำทีมของ ผอ.ศคร. และ ผอ.กจค. โดยมีผู้ใกล้เกษียณจำนวน 15 ท่าน ในปีที่ 2 (2558) จำนวนผู้ใกล้เกษียณเพิ่มขึ้น 24 ท่าน และในปีปัจจุบันรวมผู้ใกล้เกษียณ 2 ปี (2559 – 2560) มีจำนวนถึง 52 ท่าน การทำงานเป็นคณะจัดการความรู้ผู้ใกล้เกษียณ ศคร. โดย กจค. ร่วมกับ กพค. ดำเนินการควบคู่ไปกับการเรียนรู้ จากคำแนะนำของผู้บริหาร จนสามารถเข้าสู่ระบบการจัดการความรู้ซึ่งยังต้องพัฒนาต่อไป
เป็นที่ทราบกันว่า ความรู้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. ความรู้ที่ติดตัวคน Tacit Knowledge เป็นความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ที่แต่ละคนสะสมมาจากการทำงาน ความสามารถ ความชำนาญในงานที่ทำ เป็นเทคนิคการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งเป็นการสูญเสียความรู้เทคนิคที่ติดตัวไปกับผู้เกษียณอายุที่ทำงานมาหลายปี โดยไม่ได้มีการถ่ายทอด หรือ สอนงานไว้ก่อน
2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง Explicit Knowledge เป็นความรู้ที่ถูกเขียนหรือบันทึกขึ้นเป็น เอกสารคู่มือ คลิปสาธิตต่างๆ ที่จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อความรู้นั้นๆ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับคนรุ่นต่อมาได้เรียนรู้จากคนรุ่นก่อน สามารถพัฒนาเทคนิคการทำงานให้ได้ดีเท่าเทียมกันหรือดีกว่าต่อไป
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาการสูญเสียความรู้ที่เป็นเทคนิคหรือทักษะที่ติดตัวไปกับผู้เกษียณอายุที่ทำงานมาหลายปี เราจึงต้องหาวิธีการรักษาความรู้ วิธีการปฏิบัติงานต่างๆ ให้เหมาะสมกับผู้ใกล้เกษียณ เพื่อเปลี่ยนจากความรู้ที่ติดตัวคนจาก Tacit Knowledge ผ่านขั้นตอนการจัดการความรู้ ให้เป็นความรู้ที่ชัดแจ้งที่ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ในรูปแบบเอกสาร คู่มือการปฏิบัติงาน หรือ เทปบันทึก คลิป VDO สาธิตประกอบความรู้ต่างๆ ที่เรียกว่า Explicit Knowledge
เมื่อย้อนกลับมาพูดถึงการทำงานของทีมงานจัดการความรู้ คำถามที่เกิดขึ้นสำหรับทีมงาน คือ “…จะจัดการอย่างไร เอาความรู้ประเภทไหน ใครจะยินดีให้ความรู้ง่ายๆ เราจะต้องทำอย่างไร…” เรามีคำถามทุกวัน โต้แย้งกันบ้างในเวลาประชุมหารือ ด้วยทิศทางการทำงานที่ยังไม่ชัดเจน และประสบการณ์ความรู้ที่มีอยู่น้อยเมื่อเทียบกับองค์กรอื่นๆ ที่เน้นเฉพาะด้าน KM โดยตรง วว. เป็นองค์กรด้านงานวิจัยและพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งในองค์กรแห่งนี้มีองค์ความรู้อยู่มากมาย…เป้าหมายคือ จะจัดเก็บส่วนใด? จัดเก็บใคร… ผู้บริหาร นักวิจัย ช่างเทคนิค งานสนับสนุน หรือทุกคนในองค์กร…ใครคือเป้าหมายหลักของเรา? ต้องตั้งเป้าว่าจะเจาะจงความรู้ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์องค์กรหรือไม่? เอาความรู้ที่สำคัญหลักๆ หรือประสบการณ์ชีวิตการทำงานและความประทับใจองค์กรของผู้ใกล้เกษียณ? ทีมงานเราก็หลงประเด็นเช่นกัน แต่งานเข้ามาให้เราทำ คือ โอกาสที่จะได้เรียนรู้ได้มีเวทีให้แสดงความสามารถ ซึ่งทีมงานก็ได้ทุ่มเททำให้ผ่านมาจนได้ จากผลการประชุมสรุปการติดตามผลการจัดการความรู้ผู้ใกล้เกษียณในปีแรกทำให้เราต้องเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในปีที่ 2 ซึ่งมีผู้เกษียณมากขึ้น จึงมีการปรับกระบวนการทำงานที่ชัดเจนขึ้น สามารถจัดตั้งทีมย่อยเพื่อลงพื้นที่สัมภาษณ์ได้ โดยทีมงานทุกคนได้ผ่านการฝึกอบรมด้าน “เทคนิคการสัมภาษณ์” เพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดเก็บความรู้ประสบการณ์จากผู้ใกล้เกษียณ โดย ดร.นฤมล รื่นไวย์ ผอ.ศคร. และ “เทคนิคการเขียนบทความ” โดย น.ส.อัปสร เสถียรทิพย์ ผอ.กจค. เพื่อเป็นเครื่องมือสกัดความรู้จากบทสัมภาษณ์ที่ได้ นำมาตกผลึกเป็น “องค์ความรู้” เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์และทักษะร่วมกันในการทำงานให้รุ่นต่อไป
นอกจากวิธีจัดเก็บความรู้จากการบอกเล่า หรือ Story telling คือ การบอกเล่าของผู้ใกล้เกษียณโดยการสัมภาษณ์แล้ว ทีมงานเราพยายามเข้าถึงกระบวนการจัดการความรู้โดยการใช้เครื่องมือจัดเก็บความรู้อีกประเภท คือ การก่อตั้งชุมชนนักปฏิบัติ CoPs หรือ Community of Practices จากความรักความชอบในงานประเภทเดียวกันของกลุ่มพนักงานได้พบปะ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ แบ่งปันบอกเล่าการประสบกับปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไขซึ่งกันและกันอย่างอิสระ ซึ่งในปี 2557 มีกลุ่มนำร่องจำนวน 4 กลุ่ม คือ 1) CoPs นักบริหาร 2) CoPs นักออกแบบ 3) CoPs เลขา และ 4) CoPs ฝึกอบรม เนื้อหาความรู้ที่สกัดได้เป็น “องค์ความรู้” ผ่านการกลั่นกรองภาษา ถ้อยคำที่เหมาะสม อ่านเข้าใจง่ายโดย ผอ.กจค. ก่อนนำออกเผยแพร่บนระบบ Intranet ช่องทางต่างๆ เช่น TISTR KM•IRDB แหล่งจัดเก็บข้อมูลความรู้และบทสัมภาษณ์ผู้เกษียณ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 , บทความความรู้ KM ภายใน (KM Intra), KM Lite วารสารออนไลน์ และ จุลสาร KM Seed ที่ก่อตั้งขึ้นในปีปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการแจ้งข่าวกิจกรรมความเคลื่อนไหวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ KM องค์กร เป็นต้น
“ความรู้” ที่นำมาใช้หรือเกิดขึ้นเองชั่วขณะทำงาน ความรู้ที่เกิดจากการใช้แก้ปัญหางานจนประสบความสำเร็จในงานนั้นๆ ของคนๆหนึ่ง หรือของคนกลุ่มหนึ่ง แล้วผ่านกระบวนการจัดการความรู้ 7 ข้อ คือ 1)แสวงหา 2) จัดเก็บ 3) รวบรวม 4) จัดหมวดหมู่ 5) กลั่นกรอง 6) เผยแพร่ และ 7) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยมีการเข้าถึงข้อมูลเพื่อนำไปต่อยอดความรู้ เกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อองค์กร ตามเป้าหมายตัวชี้วัดต่างๆที่องค์กรกำหนดไว้ เกิดเป็น “องค์กรแห่งการเรียนรู้” ซึ่งก็คือความหมายของ “การจัดการความรู้” นั่นเอง
คำถาม…ทำไม? ถึงต้องจัดการความรู้ ก็เพราะโลกเราเปลี่ยนเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิกส์ การเข้าถึงข้อมูลความรู้สามารถเข้าถึงได้ง่ายในเวลาสั้น การแข่งขันทางการค้าที่ต้องการข้อมูลที่รวดเร็วในการตัดสินใจ การลดต้นทุนและเวลาในการดำเนินงานเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ดังนั้น ถ้าองค์กรมีการจัดการความรู้ที่ดีก็จะสามารถทำให้การทำงานกระชับ ชัดเจนขึ้น พนักงานทุกตำแหน่งในองค์กรควรจะสามารถรับรู้งานนอกสายงานตัวเองเพิ่มเติมได้ เป็นการพัฒนาตนเองตลอดช่วงเวลาการทำงานในองค์กร โดยใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงความรู้ในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กร และสามารถคิดสิ่งใหม่ๆ ในการทำงานโดยการพัฒนาต่อยอดความรู้เพิ่มขึ้นหรือทันสมัยขึ้น องค์กรสามารถยืนอยู่ได้ในภาวการณ์แข่งขัน ช่วยในการพัฒนาองค์กร พัฒนากระบวนการทำงาน พัฒนาบุคลากร สร้างความพึงพอใจในการทำงานของบุคลากร เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ในการทำงานร่วมกัน
อาจารย์ท่านหนึ่งเคยสอนว่า “ความรู้ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ถ้ารู้อยู่คนเดียวไม่ถ่ายทอดออกซะบ้าง จะรับความรู้ใหม่เพิ่มได้จากไหน” ดูท่าจะจริงค่ะ ถ้าคุณถ่ายทอดความรู้ให้ใครสักคน คุณจะได้หัวข้อที่เขาไม่เข้าใจถามกลับมาให้เราได้ศึกษาต่อ ถ้าเราพลาดประเด็นเรื่องนั้น ในความเชี่ยวชาญของท่านอาจตอบคำถามง่ายๆที่คิดไม่ถึงก็เป็นได้ เหมือนเส้นผมบังภูเขา และถ้าเราไม่ถ่ายทอดให้ใคร ก็จะไม่มีโอกาสยืนยันว่าเรารู้แค่ไหน แค่ไหนที่ว่ารู้มาก….
มนุษย์เราไม่มีวันให้หยุดเรียนรู้ และทุกวันมีสิ่งต่างๆที่ควรเรียนรู้มากมาย แม้โอกาสสุดท้ายที่กำลังจะตาย หลายคนยังอยากรู้ว่า … ตายแล้วจะเป็นอย่างไร? ตายแล้วไปไหน?
แต่ที่สำคัญ ก่อนจะถึงเวลาที่เราทุกคนจะสิ้นชื่อไปจากโลกใบนี้ ร่องรอยแห่งความรู้และประสบการณ์ที่ท่านได้ฝากไว้กับคนรุ่นหลัง คือสิ่งที่ทีมงานจัดการความรู้ผู้ใกล้เกษียณได้เพียรพยายามร่วมกันสร้างด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
[Online]. Available at : http://www.hosttrendy.com/9-กิจกรรม-ทำให้เราดูแก่/ [accessed 21 July 2016].
………………………………….